บทที่ 2
ฉินเย่พาเธอเข้าไปในห้องน้ำแล้วก็ออกไป
เสิ่นอวิ๋นอู้ก้มหน้าอยู่ตลอด รอจนฉินเย่ออกไปแล้ว จึงค่อยๆ เงยหน้าขึ้น ยื่นมือเช็ดน้ำตาที่ไหลอยู่บนแก้ม
ครู่ต่อมา
เธอล็อกประตูห้องน้ำจากด้านใน แล้วหยิบใบรายงานผลการตั้งครรภ์ที่โรงพยาบาลให้มาออกจากกระเป๋า
ใบรายงานเปียกชุ่มจากฝนตลอดทาง ตัวหนังสือเลือนลางจนอ่านไม่ออก
เดิมทีอยากจะเซอร์ไพรส์เขา แต่ตอนนี้ดูเหมือนไม่จำเป็นแล้ว
เป็นคนข้างกายฉินเย่มาสองปี เธอรู้ดีว่าเขาเป็นคนที่โทรศัพท์ไม่เคยห่างมือ
แต่เขาคงไม่เบื่อขนาดจงใจให้เธอไปส่งร่ม แล้วก็ไล่กลับ
เป็นไปได้อย่างเดียวคือมีคนเอาโทรศัพท์ของเขาไปใช้ ส่งข้อความแบบนั้นมาให้เธอ เพื่อให้เธอไปเป็นตัวตลกให้คนอื่นดู
ไม่แน่ว่า ตอนที่เธอยืนรอใต้ตึกอย่างโง่เขลา บนตึกอาจมีคนกำลังหัวเราะเยาะเธออยู่
เสิ่นอวิ๋นอู้จ้องมองอยู่นาน แล้วก็หัวเราะขื่น ค่อยๆ ฉีกใบรายงานทิ้ง
ครึ่งชั่วโมงต่อมา
เสิ่นอวิ๋นอู้ออกจากห้องน้ำมาด้วยท่าทีสงบนิ่ง
ฉินเย่นั่งอยู่บนโซฟา ขาเรียวยาววางอยู่บนพื้น ตรงหน้ามีโน้ตบุ๊กหนึ่งเครื่อง ดูเหมือนว่าเขากำลังจัดการเรื่องงานอยู่
เมื่อเห็นเธอออกมา เขาก็ชี้ไปที่ถ้วยน้ำขิงข้างๆ
“ดื่มน้ำขิงไป”
“ค่ะ”
เสิ่นอวิ๋นอู้เดินเข้าไป ยกถ้วยน้ำขิงขึ้นมา แต่ก็ไม่ได้ดื่ม ทว่ากลับนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ จึงเอ่ยชื่อของเขา
“ฉินเย่”
“มีอะไร?” น้ำเสียงของเขาเย็นชา แม้แต่สายตาก็ยังไม่ละไปจากหน้าจอ
เสิ่นอวิ๋นอู้มองโครงหน้าด้านข้างและแนวกรามที่งดงามไร้ที่ติของฉินเย่ ริมฝีปากที่ซีดเซียวเล็กน้อยขยับเล็กน้อย
และดูเหมือนฉินเย่จะรอจนหมดความอดทนจึงเงยหน้าขึ้นมา สองสายตาสบประสานกัน
เสิ่นอวิ๋นอู้ที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จมีผิวพรรณอมชมพู ริมฝีปากก็ไม่ซีดเซียวเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว แต่อาจเป็นเพราะตากฝนมา วันนี้เธอจึงดูมีท่าทีเหมือนคนป่วย ทั้งร่างเต็มไปด้วยความรู้สึกที่แตกสลาย
เพียงแวบเดียว ความปรารถนาบางอย่างของฉินเย่ก็ถูกปลุกขึ้นมา
ในใจของเสิ่นอวิ๋นอู้สับสนวุ่นวาย ไม่มีกะจิตกะใจจะไปสนใจอารมณ์ของฉินเย่เลยแม้แต่น้อย กลับกันเธอกำลังเรียบเรียงคำพูดที่อยากจะพูดอยู่
พอเธอเรียบเรียงเสร็จและกำลังจะเอ่ยปาก: “คุณ...อื้อ”
ริมฝีปากสีชมพูอ่อนเพิ่งจะเผยอออก ฉินเย่ก็ราวกับควบคุมตัวเองไม่ได้ เขาบีบคางของเธอแล้วโน้มตัวลงมาจูบ
นิ้วมือหยาบกร้านของเขาทำให้ผิวขาวเนียนของเธอแดงขึ้นในชั่วพริบตา
ลมหายใจของฉินเย่ร้อนระอุราวกับเปลวไฟ เสิ่นอวิ๋นอู้ถูกจูบจนแทบหายใจไม่ออก ขณะที่กำลังจะผลักเขาออก โทรศัพท์มือถือของเขาที่วางอยู่บนโต๊ะก็ดังขึ้น
การกระทำของคนที่อยู่บนร่างหยุดชะงัก ความเร่าร้อนจางหายไปในทันที ครู่ต่อมาเขาก็ถอยออกไป จูบที่มุมปากของเธอเบาๆ อย่างอาลัยอาวรณ์ด้วยน้ำเสียงแหบพร่า
“ดื่มน้ำขิงแล้วไปนอนเถอะ”
จากนั้นก็ลุกขึ้นหยิบโทรศัพท์มือถือเดินออกไป
เขาไปคุยโทรศัพท์
ประตูระเบียงถูกปิดลง
เสิ่นอวิ๋นอู้ถูกจูบจนมึนงงไปบ้าง นั่งอยู่ครู่หนึ่งจึงลุกขึ้น
เธอไม่ได้เข้าไปในห้องนอน แต่กลับลุกขึ้นเดินเข้าไปใกล้ระเบียง
ประตูประจกปิดอยู่เพียงครึ่งเดียว ลมกลางคืนที่เย็นสบายพัดพาน้ำเสียงทุ้มต่ำของฉินเย่เข้ามา
“อืม ไม่ไปไหนหรอก”
“ไม่ต้องคิดมากนะ นอนเถอะ”
น้ำเสียงของฉินเย่อ่อนโยนราวกับสายลม
เสิ่นอวิ๋นอู้ยืนฟังอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็หัวเราะออกมาเบาๆ
ที่แท้ เขาก็มีช่วงเวลาที่อ่อนโยนแบบนี้เหมือนกัน น่าเสียดายที่คนคนนั้นไม่ใช่เธอ
เธอหันหลังกลับเข้าไปในห้องนอน นั่งลงที่ขอบเตียงด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก
อันที่จริง การแต่งงานของคนทั้งสองเป็นเรื่องผิดพลาดมาตั้งแต่ต้น เป็นเพียงแค่ข้อตกลงทางธุรกิจเท่านั้น
สองปีก่อน ตระกูลเสิ่นของเธอล้มละลาย เพียงชั่วข้ามคืนเธอก็ร่วงหล่นจากจุดสูงสุด กลายเป็นตัวตลกของคนทั้งเมืองหนานเฉิง
ในอดีตตระกูลเสิ่นเคยรุ่งเรืองอย่างมาก สร้างศัตรูไว้ไม่น้อย หลังจากตกต่ำลงก็มีคนนับไม่ถ้วนที่อยากจะหัวเราะเยาะ
ถึงกับมีคนโอ้อวดว่า เขาช่วยใช้หนี้ให้ตระกูลเสิ่นได้ แต่ต้องแลกกับการที่คุณหนูใหญ่ตระกูลเสิ่นมอบกายให้
ก่อนที่ตระกูลเสิ่นจะตกต่ำ มีผู้ชายนับไม่ถ้วนตามจีบเสิ่นอวิ๋นอู้ แต่ไม่เคยมีใครอยู่ในสายตาเธอเลยสักคน นานวันเข้าทุกคนต่างก็พูดกันว่าคุณหนูใหญ่ตระกูลเสิ่นทำเป็นหยิ่งยโส
พอตกต่ำลง ชายกลุ่มหนึ่งก็เกิดความคิดที่จะหยอกล้อ จึงแอบตั้งราคากันลับๆ
ในช่วงเวลาที่เธอตกต่ำและอัปยศที่สุด ฉินเย่ก็กลับมา
เขาจัดการพวกปากหอยปากปูที่ตั้งราคากัน ทำให้พวกเขาต้องชดใช้อย่างเจ็บปวดแสนสาหัส ช่วยใช้หนี้ให้ตระกูลเสิ่นจนหมดสิ้น แล้วพูดกับเธอว่า: “หมั้นกับผม”
เสิ่นอวิ๋นอู้มองเขาอย่างตกตะลึง
เมื่อชายคนนั้นเห็นท่าทางตกตะลึงของเธอ ก็ยื่นมือมาลูบใบหน้าของเธอ
“ตกใจอะไร? กลัวว่าผมจะเอาเปรียบคุณเหรอ? วางใจได้ แค่หมั้นหลอกๆ คุณย่าป่วย ท่านชอบคุณมาก คุณหมั้นกับผมหลอกๆ เพื่อให้ท่านดีใจ แล้วผมจะช่วยคุณฟื้นฟูตระกูลเสิ่น”
อ้อ ที่แท้ก็หมั้นหลอกๆ
แค่เพื่อให้คุณย่าดีใจ
ที่แท้เขาก็ไม่ได้ชอบเธอ
แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น เธอก็ยังตอบตกลงเขา
ทั้งๆ ที่รู้ว่าในใจเขาไม่มีเธอ เธอก็ยังรู้ตัวดี แต่ก็ยอมจมดิ่งลงไป
หลังหมั้น เสิ่นอวิ๋นอู้รู้สึกอึดอัดมาก
ทั้งสองเป็นเพื่อนเล่นกันมาตั้งแต่เด็ก แต่ที่ผ่านมาก็คบหากันในฐานะเพื่อนมาตลอด จู่ๆ มาหมั้นกัน เสิ่นอวิ๋นอู้ก็รู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก
แต่ฉินเย่กลับทำตัวเป็นธรรมชาติมาก เขามักจะพาเธอไปร่วมงานเลี้ยงต่างๆ เหตุการณ์พลิกผันเกิดขึ้นในอีกหนึ่งปีต่อมา อาการป่วยของคุณย่าฉินทรุดหนักลง ทั้งสองจึงแต่งงานกัน เธอกลายเป็นคุณนายฉินที่ใครๆ ต่างก็อิจฉา
คนภายนอกต่างลือกันว่า ในที่สุดคู่เพื่อนสมัยเด็กคู่นี้ก็ได้ลงเอยกันอย่างมีความสุข
เมื่อดึงสติกลับมา เสิ่นอวิ๋นอู้ก็อดหัวเราะไม่ได้
น่าเสียดาย ที่จริงแล้วไม่มีการลงเอยกันอย่างมีความสุขอะไรทั้งนั้น เป็นเพียงข้อตกลงที่ต่างฝ่ายต่างสมประโยชน์กันเท่านั้น
“ยังไม่นอนอีกเหรอ?” เสียงของฉินเย่ดังขึ้นมาทันใด
จากนั้น ที่นอนข้างๆ เสิ่นอวิ๋นอู้ก็ยุบตัวลง กลิ่นอายสดชื่นบนตัวของฉินเย่ลอยเข้ามาห้อมล้อม
“มีเรื่องจะคุยด้วย”
เสิ่นอวิ๋นอู้ไม่ได้หันไปมอง เธอน่าจะเดาได้แล้วว่าฉินเย่อยากจะพูดอะไร
ฉินเย่พูดว่า: “เราหย่ากันเถอะ”
แม้จะเดาได้อยู่แล้ว แต่หัวใจของเสิ่นอวิ๋นอู้ก็ยังกระตุกวูบ เธอข่มกลั้นอารมณ์ที่ปั่นป่วน พยายามทำใจให้สงบ: “เมื่อไหร่คะ?”
เธอนอนอยู่ตรงนั้น สีหน้าสงบนิ่ง น้ำเสียงก็ไม่มีความหวั่นไหวใดๆ น้ำเสียงเรียบเฉยราวกับกำลังพูดถึงเรื่องธรรมดาๆ เรื่องหนึ่ง
ท่าทางแบบนี้ของเธอทำให้ฉินเย่ขมวดคิ้ว แต่ปากก็ยังคงพูดว่า: “เร็วๆ นี้ รอให้คุณย่าผ่าตัดเสร็จก่อน”
เสิ่นอวิ๋นอู้พยักหน้า
“ค่ะ”
ฉินเย่: “...หมดแล้วเหรอ?”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เสิ่นอวิ๋นอู้ก็เหลือบมองเขาแวบหนึ่ง: “อะไรคะ?”
สายตาของเธอกระจ่างใส ปราศจากสิ่งเจือปนใดๆ ฉินเย่ถูกเธอถามจนพูดไม่ออก อึกอักอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็หัวเราะออกมาอย่างจนใจ
“ไม่มีอะไร ผู้หญิงไร้หัวใจ”
คนเขาว่ากันว่าอยู่กินกันฉันสามีภรรยาแค่วันเดียว ก็ยังมีเยื่อใยต่อกันไปอีกนาน อย่างน้อยก็เป็นสามีภรรยากับเขามาหนึ่งสองปี พอเขาเสนอเรื่องหย่า เธอกลับสงบนิ่งได้ขนาดนี้
ก็ใช่สินะ เดิมทีทั้งสองก็แต่งงานกันตามข้อตกลง ต่างฝ่ายต่างได้ในสิ่งที่ต้องการ
การมีอยู่ของเขา เป็นเพียงเกราะป้องกันไม่ให้บรรดาผู้ชายที่ตามจีบเธอเข้าใกล้เท่านั้น
ในช่วงเวลาสองปีนี้ ถ้าไม่ใช่เพราะคุณย่า เธอคงรีบตัดขาดความสัมพันธ์กับเขาไปนานแล้ว
ฉินเย่ปัดความรู้สึกไม่สบายใจที่เกิดจากปฏิกิริยาอันสงบนิ่งของเสิ่นอวิ๋นอู้ออกไป เขานอนลงข้างๆ เธอแล้วหลับตาลง
“ฉินเย่”
แต่เสิ่นอวิ๋นอู้กลับเรียกเขาขึ้นมาทันที
ฉินเย่ลืมตาขึ้นทันที มองไปที่เธอ ดวงตาคู่ลึกล้ำสว่างไสวเป็นพิเศษในความมืดมิดยามค่ำคืน
“คุณอยากจะพูดอะไรกับผม?”
เสิ่นอวิ๋นอู้มองใบหน้าหล่อเหลาของเขา ริมฝีปากสีชมพูเผยอออก ในที่สุดก็พูดออกมาว่า: “สองปีที่ผ่านมานี้...ขอบคุณนะคะ”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น แสงสว่างในดวงตาของฉินเย่ก็หม่นลง ครู่ต่อมาเขาก็กระตุกมุมปาก “พูดมากจัง”
พูดมากงั้นเหรอ?
เสิ่นอวิ๋นอู้หันหน้าหนีไป รอให้หย่ากันแล้ว ก็คงไม่มีโอกาสแบบนี้อีก





















































































































































































































































































































































































































































































































































































































